SAWAD กวาดกำไร Q3/66 ต่อเนื่อง 1.4 พันล้านบาท รวม 9 เดือนกำไรสุทธิเฉียด 4 พันล้านบาท ดันพอร์ตสินเชื่อแตะ 9.4 หมื่นล้านบาท โตพุ่ง 86% YoY ด้านผู้บริหาร ธิดา แก้วบุตตา ระบุพอร์ตสินเชื่อเติบโตเพิ่มและเริ่มรับรู้รายได้เงินสดทันใจเต็มไตรมาส ส่งผลให้รายได้และกำไรเติบโตเพิ่มขึ้น เตรียมเดินหน้าปล่อยสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ มั่นใจปิดปี 66 พอร์ตสินเชื่อเข้าเป้า 25-30%
นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการกลยุทธ์องค์กร บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ของบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวม 1,424.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,251.14 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยราว 4,646.54 ล้านบาท และรายได้อื่นราว 605.26 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 5,251.80 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 60.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เกิดจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของบริษัทเงินสดทันใจหลังซื้อหุ้นคืนจากธนาคารออมสิน ทำให้พอร์ตสินเชื่อ ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 94,470 ล้านบาท โตขึ้น 86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 50,830 ล้านบาท ขณะเดียวกันกำไรสุทธิขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการตั้งสำรองลดลง หลังจากไตรมาสที่ 2 บริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) พิเศษ
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิรวม 3,968.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,507.42 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 13,601.41 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 59.19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน “ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 นี้ จะเห็นการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากบริษัทเงินสดทันใจ หลังจากที่บริษัทได้ซื้อหุ้นคืนจากธนาคารออมสิน และไม่มีค่าใช้จ่ายสำรอง ECL พิเศษเหมือนไตรมาสที่ 2 จึงอยากให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าการตั้งสำรองครั้งนั้นเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในระยะถัดไปของบริษัทแล้วและไม่ได้เกิดขึ้นอีก จึงสะท้อนผลการดำเนินงานออกมาเป็นอย่างดีในไตรมาสที่ 3 ส่วนประเด็นเรื่องคุณภาพสินเชื่อที่มี NPL ถือว่าเป็นปกติในการทำธุรกิจการให้สินเชื่อ ซึ่งก่อนหน้าโควิดอยู่ที่ระดับ 3% กว่า แต่เนื่องจากโควิดเราปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังทำให้ NPL ลดลง หลังจากนี้การปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น และระดับ NPL จะค่อยๆกลับไปอยู่ในระดับปกติก่อนเกิดสถานการณ์โควิด เพื่อให้พอร์ตสินเชื่อเติบโตตามเป้าหมายที่ระดับ 25-30% โดยไม่นับรวมกับเงินสดทันใจ ฉะนั้นอยากให้นักลงทุนมั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างรอบคอบตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของเครือศรีสวัสดิ์” ธิดา กล่าว
ทั้งนี้การเติบโตในไตรมาสที่ 3 เป็นการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัททำธุรกิจ แบ่งตามสัดส่วน คือ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ บ้านและที่ดิน 65% สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ 30% สินเชื่อส่วนบุคคลและอื่นๆ 5% โดยแนวโน้มความต้องการสินเชื่ออยู่ในระดับที่สูงขึ้น เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวจึงเกิดการใช้เงินเพื่อหมุนเวียนธุรกิจและใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้เกิดการขอสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลดีต่อภาพรวมของธุรกิจเครือศรีสวัสดิ์ สอดรับปัจจัยบวกตามฤดูกาลในช่วงครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มการขยายตัวสูง