บริษัท เอ เอ็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดแถลงข่าวการแต่งตั้งเป็นตัวแทนธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน จากสมาคมกวางตุ้งแห่งประเทศจีน โดยในครั้งนี้ได้มีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เพื่อจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ซึ่งจะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่น ในการอำนวยความสะดวก ด้านการค้าข้ามพรมแดน และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทยให้ก้าวไกลไปทั่วโลก โดยเป็นการผนึกกำลังกันของ 3 หน่วยงานสำคัญ Alibaba.com, บริษัท ไอริส มีเดีย เทรดดิ้ง จำกัด และตัวแทนจากสมาคมถ่ายทอดสด GDBZ อีคอมเมิร์ซกวางตุ้งแห่งประเทศจีนสาขาประเทศไทย เตรียมยกระดับผู้ประกอบการ SME ไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก
รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (สสว.) ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีครั้งนี้ กล่าวว่า สสว. มีนโยบายในการส่งเสริม SME ของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็ง สำหรับการส่งสินค้าไปขายในตลาดต่างประเทศ โดยมีตัวเลขของผู้ประกอบการ SME ที่ส่งออกไปต่างประเทศประมาณ 20,000 ราย ถ้าผู้ประกอบการรายใดมีความสนใจในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ ภาครัฐมีความพร้อมที่จะส่งเสริมและช่วยผู้ประกอบการในการยกระดับมาตรฐาน ทั้งเครื่องหมายการค้า ฉลาก และการทำตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ พร้อมทั้งการหาแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการทำธุรกิจอีกด้วย เพื่อเป็นการยกระดับให้ผู้ประกอบการไทยก้าวไกลสู่ตลาดสากลให้ได้
ด้าน Eric Su Head of Alibaba.com Southeast Asia Region ตัวแทนจาก Alibaba.com กล่าวว่า “วันนี้รู้สึกมีความยินดีที่จะมีส่วนช่วยในการผลักดันผู้ประกอบการ SME ก้าวไปสู่ตลาดโลก เราเป็นบริษัทแรกที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1999 ซึ่งยาวนานกว่า 23 ปี โดยมีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจคือ “ให้ธุรกิจเป็นเรื่องง่ายในทุกที่” โดยเน้นการส่งเสริมและยกระดับธุรกิจ SME เป็นหลัก พร้อมวางกลยุทธ์ในการสร้างบริษัทให้มีอายุที่ยืนยาว 102 ปี เพราะต้องการให้ผู้บริหารครอบคลุม 3 เจเนเรชั่น เพื่อสร้างบริษัทให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นการยกระดับผู้ประกอบการ SME ไทยให้เติบโตและสามารถส่งออกไปทั่วโลกได้ผ่านเครือของ Alibaba.com โดยในแพลตฟอร์มมีทั้งผู้ซื้อที่เป็นทั้งบริษัทเล็ก ๆ จนถึงบริษัทขนาดใหญ่จากทั่วโลกที่จะเข้ามาซื้อสินค้า”
“สำหรับคนที่เข้ามาใช้แพลตฟอร์มของ Alibaba.com สามารถเข้าถึงผู้ซื้อผู้ขายกว่า 200 ประเทศทั่วโลก และในตอนนี้มีสินค้าที่อยู่ในแพลตฟอร์มของเราประมาณ 200 ล้านรายการ และสามารถเข้าถึงอุตสาหกรรมหมวดหมู่สินค้ากว่า 5,900 หมวดหมู่สินค้า และมีแนวโน้มของการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มีผู้ซื้ออยู่ในแพลตฟอร์มประมาณ 300 ล้านคนทั่วโลก โดยแพลตฟอร์มยังมีระบบการแปลภาษาได้มากถึง 7 ภาษา ซึ่งเราเป็นแพลตฟอร์ม B2B อันดับหนึ่งที่ครองใจผู้ซื้อจากทั่วโลก”
โดยตอนนี้แพลตฟอร์ม Alibaba.com ได้มีการเก็บสถิติของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการและเลือกซื้อสินค้าจากประเทศไทย ซึ่ง 20 อันดับแรกประกอบไปด้วย สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, แคนาดา, บราซิล, ออสเตรเลีย, อังกฤษ, รัสเซีย, ตุรกี, ปากีสถาน, เม็กซิโก, อิตาลี, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อินโดนีเซีย, ซาอุดิอาระเบีย, สเปน, มาเลเซีย, เปรู และประเทศไทย เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมได้แก่ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าทางการเกษตร และกลุ่มสินค้าความสวยความงาม ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
Eric Su กล่าวต่อว่า “แพลตฟอร์ม Alibaba.com เตรียมที่จะยกระดับผู้ประกอบการ SME ในประเทศไทย เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีพฤติกรรมในการขายสินค้าและซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น การจัดงานเอ็กซ์โปเหมือนเมื่อก่อนนั้นจะไม่ค่อยได้ผล Alibaba.com เตรียมจัดทริปเรียนรู้ธุรกิจ 4 วัน 3 คืน ในเมืองหางโจว จะเป็นทริปการเรียนรู้ว่าในประเทศจีนที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถทำได้อย่างไร จะได้เรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจ Alibaba.com ว่ามีระบบการบริหารจัดการอย่างไร เรียนรู้ในเรื่องเทรนด์ต่าง ๆ ของสินค้า และเรียนรู้การทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ หรือว่าถ้าอยากไปขายบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่างเช่น เถาเป่า หรือ ทีมอลล์ จะเข้าไปขายได้อย่างไร นอกจากนี้ยังได้ทำความรู้จักกับคู่ค้าอื่น ๆ อีกด้วย โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมที่พัก อาหาร ค่าไกด์ โดยที่ยังไม่รวมค่าเครื่องบินและวีซ่า”
ทางด้าน จุลสิทธิ์ เย็นเมตตากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ เอ็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า “สำหรับผู้บริโภคจีนมีพฤติกรรมที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ เราจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขา ไม่ว่าจะราคาถูกหรือราคาแพง เขาต้องการแหล่งซื้อสินค้าที่ไว้ใจในคุณภาพสินค้าได้ สำหรับสินค้าที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น กลุ่มสินค้าอาหาร มาม่า รสต้มยำกุ้งที่มียอดขายสูง ข้าวเหนียวมะม่วง ผลไม้อบแห้ง เครื่องสำอาง แชมพูมะกรูด มาส์กหน้าไทย เมกอัพแบรนด์มิสทินที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยาดม ยาอมตราตะขาบ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางพารา และงานฝีมือที่คนไทยมีความละเอียดในการผลิตชิ้นงานออกมา”
“สิ่งที่สำคัญการวาง Brand Positioning ในการเจาะตลาดกลุ่มเป้าหมายให้ได้จำนวนมากที่สุดให้ได้ สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม ได้แก่ กลุ่มฐานตลาดที่มีกำลังซื้อระดับกลางไปจนถึงตลาดระดับล่าง และสินค้าไม่ควรตั้งราคาเกิน 500 บาท หรือ 100 หยวน ต่อ 1 หน่วยสินค้า ส่วนการออกแบบกล่องหรือโปรดักต์ให้เน้นเรื่องวัฒนธรรมของไทยเป็นหลัก เพราะจะได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติ ส่วนมุมมองของคนจีนที่มีต่อคนไทยและสินค้าไทยมีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะความจริงใจของคนไทย สินค้ามีความเป็นธรรมชาติ ราคาจับต้องได้ไม่มีราคาสูงมาก รวมถึงงานฝีมือ ทำให้ได้รับความเชื่อถือ สำหรับจุดอ่อนของสินค้าไทย จะมีจุดอ่อนด้านเทคโนโลยีในการผลิต เพราะค่อนข้างล้าหลัง ไม่ทันสมัยเมื่อเทียบกับประเทศจีน ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูง กำลังการผลิตในไทยค่อนข้างจะต่ำ ทำให้สู้โรงงานในประเทศจีนไม่ได้”
สำหรับเทรนด์ตลาดในประเทศจีนที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไวน์เทนิ่ง, แอนไทด์เอจจิ้ง และมอยเจอไร้ซิ้ง เพราะประเทศจีนค่อนข้างหนาวทำให้ผิวแห้งง่าย โดยเฉพาะคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น สำหรับการใช้จ่ายตลาดเครื่องสำอางของคนจีน ที่มีประชากรอยู่ประมาณ 14 ล้านคน ใช้จ่ายประมาณคนละ 300 หยวน แสดงว่าตลาดเครื่องสำอางจีนมีขนาด 4.2 พันล้านหยวนต่อปี แบ่งเป็น สกินแคร์ 57.7 % เพอร์ซัลนอลแคร์ 36 % เมกอัพ 10.4 % ที่เหลือจะเป็นตลาดน้ำหอม 1.9 %
ขณะที่ Xiao juan, Yin บริษัท ไอริส มีเดีย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาบริษัทได้นำเข้าสินค้าไทยไปขายที่ประเทศจีน แต่เมื่อประสบปัญหาในเรื่องของโควิด – 19 ระบาด ทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถนำสินค้าไปขายยังประเทศจีนได้ โดยตอนนี้บริษัทได้คิดค้นแพลตฟอร์ม E-Commerce ขึ้นมา โดยร่วมกับพาร์ตเนอร์ในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ เวียดนาม และจีน ทำให้ผู้ประกอบการทุกคนสามารถฝ่าวิกฤติโควิดมาได้ ในตอนนี้บริษัทมีห้องไลฟ์สดขายสินค้าอยู่ที่ประเทศไทยมีบริการผ่าน 4 แนวทาง 1.การสตรีมไลฟ์ขายสินค้า 2.เปิดหลักสูตรอบรมในการขายสินค้า 3.สถานที่ให้บริการในการไลฟ์ขายสินค้าให้บริการกับทุกคนที่มีความสนใจ และ 4.แพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังมีระบบโลจิสติกส์คอยให้บริการกับผู้ประกอบการอีกด้วย ดังนั้นจาก 4 ช่องทางการให้บริการของบริษัทจะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการเติบโตได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ การจัดงานนี้ขึ้นจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยเพิ่มศักยภาพให้วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในประเทศไทย ได้ขยายไปยังตลาดโลก ทางผู้จัดงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดงานจะเป็นประโยชน์สูงสุดให้แก่ทุกภาคส่วนของประเทศไทยในอนาคตได้อย่างยั่งยืน