นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “กลุ่มบริษัทเอไอเอส่งมอบผลประกอบการมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ในไตรมาสที่สาม จากทุกกลุ่มธุรกิจที่สามารถรายงาน ซึ่งแสดงถึงผลประกอบการที่กลับมาของเราในไตรมาสที่สองและต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสที่สาม
“การขายผ่านตัวแทนพรีเมียร์ เอเจนซี่ และช่องทางพันธมิตรของเราทั้งสองสร้างการเติบโตที่สูงขึ้นให้แก่มูลค่าธุรกิจใหม่ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2564 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มการขายที่เหนือกว่าทั่วภูมิภาคเอเชีย สำหรับช่องทางตัวแทน การสรรหาตัวแทนปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่สามและด้วยประสิทธิภาพการทำงานของตัวแทนที่สูงขึ้นทำให้มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนพันธมิตรช่องทางธนาคารของเราก็ได้ส่งมอบการเติบโตที่ยอดเยี่ยมแก่มูลค่าธุรกิจใหม่ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมากจากการเป็นผู้นำในด้านการดำเนินธุรกิจทั่วทั้งอาเซียน
“เอไอเอยังคงมุ่งเน้นที่การดำเนินธุรกิจตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าเอไอเอจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสการเติบโตเชิงโครงสร้างที่มีให้แก่บริษัท เรามุ่งพัฒนาด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์ (TDA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า รวมถึงมอบประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมให้กับช่องทางการขายที่เป็นเลิศของเรา
“เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทดำเนินการเพื่อเข้าซื้อกิจการ Blue Cross แล้วเสร็จซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพเฉพาะทางในฮ่องกง และในเดือนกันยายน เราได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการ MediCard ซึ่งเป็นองค์กรดูแลสุขภาพชั้นนำ (HMO) ในประเทศฟิลิปปินส์ การที่เอไอเอมีบริการใหม่เพิ่มเติมเหล่านี้จะช่วยเร่งกลยุทธ์ใหม่ด้านสุขภาพแบบบูรณาการของเรา ซึ่งจะมาส่งเสริมความมุ่งมั่นในการทำให้การดูแลสุขภาพสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ราคาโดนใจมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลูกค้าของเรา
“ฐานะทางการเงินของกลุ่มยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์ในตลาดเงินทุนทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอน และเรายังสามารถคืนทุนส่วนเกินให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อคืนหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โครงสร้างการจัดการเงินทุนของบริษัทช่วยทำให้เรามั่นใจได้ว่าบริษัทสามารถทนต่อแรงกดดันจากตลาดทุนและบริหารทรัพยากรให้เพียงพอ รวมถึงรักษาความยืดหยุ่นทางการเงิน เพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจต่อไป
“ผมมั่นใจว่ากลยุทธ์การเติบโตของเราจะยังคงส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนหลายล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives”
สรุปผลการดำเนินงานของไตรมาส 3
มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) มีมูลค่า 741 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2564 ซึ่งเติบโตจากทุกส่วนงานที่รายงานผล ประกอบกับการเติบโตของทั้งช่องทางตัวแทนและพันธมิตร
ในขณะที่มาตรการควบคุมโรคระบาดในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่อนคลายลง เอไอเอ ประเทศจีน ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างแข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 3 มีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่คิดเป็นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2564 เราสร้างการเติบโตทั้งแบบปีต่อปีและไตรมาสต่อไตรมาสจากสาขาของเราที่ตั้งขึ้นก่อนการขยายทางภูมิศาสตร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการขายในเซียงไฮ้ นอกจากนี้ เรายังคงสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตแบบปีต่อปีได้อย่างยอดเยี่ยมจากการขยายสาขา ซึ่งทั้งการปฏิบัติงานผ่านระบบดิจิทัล ประกอบกับโปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ที่เป็นมืออาชีพ ทำให้เอไอเอ ประเทศจีน มีความแตกต่างเหนือคู่แข่ง อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการสรรหาตัวแทนใหม่ในระดับที่ดี รวมถึงผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้งตัวแทนใหม่และตัวแทนที่มีอยู่ของเราในไตรมาสที่สาม
เอไอเอ ฮ่องกง สามารถสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจได้อีกไตรมาส ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งของยอดขายที่มาจากนักท่องเที่ยวในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านสาขามาเก๊า ตลอดจนช่องทางพันธมิตรธนาคารที่เราร่วมมือแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับธนาคารแห่งเอเชียตะวันออก (Bank of East Asia) ยังคงสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
เอไอเอ ประเทศไทย มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ในไตรมาสที่สามจากการขายผ่านทุกช่องทาง รวมถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งจากพันธมิตรธนาคาร เราประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสรรหาตัวแทนใหม่ ซึ่งช่วยทำให้มีจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานและสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเรายังคงมองเห็นแนวโน้มเชิงบวกจากไตรมาสที่สอง และเห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจแบบไตรมาสต่อไตรมาสซึ่งมาจากยอดเคลมของโรคโควิด 19 ที่ลดลงในไตรมาสที่สาม
เอไอเอ ประเทศสิงคโปร์ และเอไอเอ ประเทศมาเลเซีย มีความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งในไตรมาสที่สอง จนถึงไตรมาสที่สาม โดยทั้งสองตลาดมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นตัวเลขสองหลักอีกครั้ง โดยในแต่ละตลาด การขายผ่านตัวแทนพรีเมียร์ เอเจนซี่ และช่องทางพันธมิตร สร้างมูลค่าใหม่ให้เติบโตขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์ (TDA) ในประเทศสิงคโปร์ จำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานมีจำนวนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการผสมผสานผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความชื่นชอบมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันการเติบโต ขณะเดียวกันเรายังได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจากการเป็นพันธมิตรแบบเอ็กซ์คลูซีฟของเรากับ Public Bank Berhad ในมาเลเซีย
มูลค่าธุรกิจใหม่ในตลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2564 ขณะเดียวกันธุรกิจของเราในประเทศออสเตรเลียและประเทศเกาหลีใต้ยังคงเห็นตัวเลขมูลค่าธุรกิจใหม่ลดลง แต่เรายังคงสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่โดยรวมที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากจากตลาดอื่น ๆ ในทุกส่วนที่รายงานผล โดยทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต ในประเทศอินเดียยังคงส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่อันยอดเยี่ยม ซึ่งได้แรงหนุนจากผลงานที่แข็งแกร่งจากแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายหลายช่องทาง
โดยภาพรวมเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 หรือเพิ่มเป็น 1,271 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่ยังคงทรงตัวในวงกว้างจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 58.1 สำหรับสมมติฐานผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าธุรกิจใหม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่แสดงในรายงานประจำปี 2564 ของเรา กำไรที่รายงานเป็นมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ (PVNBP) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 จากร้อยละ 9 ในไตรมาสที่สามของปี 2564 ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เป็น 8,656 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน
ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ฉบับที่ 17
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เอไอเอจะใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ฉบับที่ 9 และ 17 สำหรับงบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท ตามที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ การนำมาตรฐานการบัญชีเหล่านี้ไปใช้ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐศาสตร์พื้นฐานของธุรกิจของเรา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของกลุ่ม มูลค่าพื้นฐานของกิจการ ความสามารถในการชำระหนี้ เงินทุน การสร้างเงินสด และนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้า
กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) และส่วนของผู้ถือหุ้นที่จัดสรรไว้จะยังคงเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ IFRS หลักของกลุ่มบริษัท หลังจากนำมาตรฐานใหม่มาใช้
การเตรียมตัวสำหรับการนำมาตรฐานใหม่มาใช้ของเราอยู่ในระหว่างดำเนินการ เราตั้งใจที่จะให้ข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะเต็มปี 2565 ในผลประกอบการประจำปีของเรา รวมถึงงบการเงินรวมที่ปรับปรุงใหม่ของกลุ่มบริษัทสำหรับปี 2565 ในไตรมาสที่สอง ของปี 2566 ก่อนที่จะทำการประกาศผลระหว่างปี 2566
เพื่อความชัดเจนในการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ฉบับที่ 17 มาใช้จะช่วยแก้ปัญหาส่วนใหญ่ของความไม่ตรงกันทางบัญชีที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจซึ่งสร้างขึ้นระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินในงบการเงินรวมของกลุ่มภายใต้ IFRS ฉบับที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำ IFRS ฉบับที่ 9 และ 17 มาใช้จะช่วยขจัดการเคลื่อนไหวของมูลค่ายุติธรรมที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ติดลบ จำนวน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก 1.552 พันล้านเหรียญสหรัฐจากตราสารอนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยที่รวมอยู่ในกำไรสุทธิที่รายงานในผลประกอบการระหว่างปี 2565 กลุ่มบริษัทใช้เครื่องมือทางการเงินที่เป็นอนุพันธ์เหล่านี้เพื่อการบริหารความเสี่ยง
ภาพรวม
เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวในช่วงต้นปี 2565 ตามการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนสูง การเติบโตของเอไอเอในไตรมาสที่สามของปี 2565 แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของเรา ทั้งในด้านความกว้างและความหลากหลายของตลาด ความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน รวมไปถึงคุณภาพของบุคลากรของเรา
แนวโน้มระยะยาวสำหรับธุรกิจของเอไอเอยังคงโดดเด่นโดยแรงสนับสนุนเชิงโครงสร้างของความมั่งคั่งทางการเงินที่เพิ่มขึ้น การเข้ามาแข่งขันในตลาดประกันชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำ และการคุ้มครองสวัสดิการสังคมที่มีจำกัดทั่วเอเชีย เอไอเออยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นในการคว้าโอกาสมหาศาลในระยะยาวของตลาดประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย ส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
เอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์และหนี้สินของเรามีมูลค่าใกล้เคียงกัน เพื่อช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้ ในรายงานงบการเงินรวมของกลุ่มที่มีการแปลเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น เราจึงมีการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของผลการดำเนินธุรกิจ