ไทยประกันชีวิตคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศที่ AAA มุมมองมีเสถียรภาพจากฟิทช์ เรตติ้งส์ ผลจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับสอง มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม และการลงทุนที่มีเสถียรภาพ
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบรัดกุม ตลอดจนการกำกับดูแลกิจการที่ดี สอดรับกับวิสัยทัศน์การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย
โดยในปี 2567 สถาบันจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก ฟิทช์ เรตติ้งส์ (Fitch Ratings) ได้ประกาศอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength Rating: IFS Rating) ของไทยประกันชีวิตที่ ‘A-’ และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating) ที่ ‘AAA(tha)’ โดยมีมุมมองที่มีเสถียรภาพฟิทช์ฯ ประเมินโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตอื่นภายในประเทศไทย โดยพิจารณาจากประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และการเป็นองค์กรที่มีความโปร่งใสในการกำกับดูแลกิจการ
ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่อันดับสองของประเทศ โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อพิจารณาจากเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 14% ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่มีความหลากหลาย ทั้งประกันชีวิต ประกันออมทรัพย์ ประกันสุขภาพ และประกันควบการลงทุน รวมถึงมีช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและครอบคลุม ทั้งตัวแทนประกันชีวิต ธนาคารพาณิชย์ และพันธมิตรธุรกิจที่หลากหลาย โดยเบี้ยประกันชีวิตรวมของบริษัทฯ ในปี 2566 มาจากช่องทางตัวแทนฯ 72% ช่องทางธนาคารพาณิชย์และพันธมิตร 21% และช่องทางอื่น ๆ 7%
บริษัทฯ มีระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมาย ณ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ 398% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 140% ขณะที่การประเมินด้วย Prism Model ของฟิทช์ฯ จากข้อมูลการเงิน ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566บริษัทฯ ยังคงมีฐานะเงินกองทุนที่เข้มแข็งอยู่เหนือระดับ “แข็งแกร่งมาก”
ด้านการดำเนินงาน บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างกำไรที่ดีในระยะยาว และไม่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566 อยู่ที่ 11% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 3 ปี (ปี 2564 – ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566) โดยความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ มาจากการขายผลิตภัณฑ์ที่สร้างกำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB Margin) ที่ดี และลดสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ประกันออมทรัพย์ที่การันตีผลตอบแทนสูง รวมถึงกลยุทธ์การปรับราคาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานด้านการลงทุนที่มีเสถียรภาพ โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่า 3% สัดส่วนการลงทุนของบริษัทฯ ยังคงมีระดับสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 82% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรที่ได้รับการจัดอันดับน่าลงทุนในระดับสากลหรือระดับประเทศ และการลงทุนในตราสารทุนและหน่วยลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 11% ใกล้เคียงกับปี 2565
“บริษัทฯ มุ่งมั่นในการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกด้าน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เอาประกันภัยแบบเฉพาะบุคคล ตามนโยบายที่มุ่งเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงทางการเงินและการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อให้สามารถดูแลผู้เอาประกันภัยตามสัญญากรมธรรม์ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น” นางวรางค์กล่าว