“Global Consumer Insights Survey” เผยสัญญาณบวกความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว หลังส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว เตรียมเปย์เงินช้อปปิ้งมากขึ้นกลางปีนี้ แนะผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์ตามเทรนด์ “Stay-at-HomeEconomy” ผลสำรวจชี้ผู้บริโภคยังนิยมอยู่บ้านมากกว่าออกเที่ยว ทางด้านเทรนด์โปรดักต์ “ขายตรง” ผู้ประกอบการต่างเร่งปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค ทุ่มงบหนักพัฒนา “R&D”ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเน้นความแข็งแกร่งที่แตกต่างในตลาดเสริมภูมิ–ชะลอวัย พร้อมปรับแพ็กเกจจิ้งให้ทันสมัยเจาะคนรุ่นใหม่เร่งเปลี่ยนนักธุรกิจเป็น “Creators” สร้าง “Brand Lovers” ให้เหนียวแน่นหนึบ
ความผกผันทางด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศไทย ถือว่ายังคงเป็นเรื่องที่ต้องคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด ทั้งแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ไปจนถึงผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้ค่าครองชีพและน้ำมันเชื้อเพลิงดีดตัวสูงขึ้น พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคเอง จึงยังคงมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ PwC ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจไว้ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาเกี่ยวกับผลสำรวจมุมมองของผู้บริโภคไทยและผู้บริโภคทั่วโลกจำนวนกว่า 9,370 ราย ใน “Global Consumer Insights Survey” ผ่านเว็บไซต์ PwC.com ที่ชี้ว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น หลังประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโรคโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย โดยมีมุมมองที่น่าสนใจใน “6 ประเด็นหลัก” ดังนี้
1. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นหลังได้รับวัคซีนแม้ยังเฝ้าระวังโอมิครอน ผลสำรวจของ PwC ที่จัดทำในเดือนธันวาคมพบว่า 61% มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมการบริโภค แนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
2. ช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนได้รับความนิยมพบว่า 49% ของผู้บริโภคในไทยที่ถูกสำรวจมีการซื้อสินค้าผ่านสมาร์ทโฟนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
3. ผู้บริโภคใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น พบว่าผู้บริโภคชาวไทยถึง 65% มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล และมีเพียง 41% ที่ไว้วางใจแบรนด์ที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้า
4. พิชิตใจผู้บริโภคด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับองค์กร
ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น พบว่า 68% ของผู้บริโภคซื้อสินค้าที่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจนและโปร่งใส ขณะที่ 67% จะซื้อสินค้าจากองค์กรที่ยึดมั่นในคุณค่าและมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น
5. ราคาและความสะดวกยังเป็นปัจจัยหลักของการตัดสินใจซื้อ ราคายังคงเป็นปัจจัยอันดับที่ 1 ในการตัดสินใจ โดย 67% ของผู้บริโภคชาวไทยเลือกที่จะซื้อสินค้าที่มีราคาดีที่สุด ทั้งจากช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
6. ผู้บริโภคยังคงไม่มีแผนเดินทาง แม้ว่าในช่วงปลายปี 2564 จะมีการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ แต่ผู้บริโภคชาวไทยบางส่วนมีแนวโน้มที่จะเดินทางน้อยลงในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เมื่อผู้บริโภคบางส่วนยังมีแนวโน้มที่จะอยู่บ้านต่อไป ระบบเศรษฐกิจ การใช้จ่ายและการบริโภคที่บ้าน (Stay-at-Home Economy) น่าจะเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์ของตนเองในปีนี้
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้น เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค พบว่าทางด้านของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขายตรงไทยในปีนี้ แทบทุกบริษัทมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดไปในทิศทางเดียวกัน คือ การลงทุนพัฒนา R&D ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งโดยเฉพาะการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเสริมภูมิคุ้มกันและศาสตร์ชะลอวัย ควบคู่ไปกับการเร่งสร้างนักธุรกิจให้เป็น “Creators” ผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อขยายฐาน “Brand Lovers” ไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ นอกจากนี้บางแห่งยังมีการปรับคะแนน PV หรือจัดแพ็กเกจสินค้าใหม่ เพื่อให้สินค้ามีราคาที่ถูกลง ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นด้วย
บริษัท เก็ทมอร์ บีอิ้ง จำกัด ขายตรงน้องใหม่มาแรง นำโดย ยุทธศิลป์ ทิวะทรัพย์ ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่คือการไปให้ถึง TOP 10 ขายตรงไทยใน 3 ปี เพื่อต่อยอด ขึ้นสู่ TOP 5 ให้ได้ภายใน 5 ปี ปีนี้บริษัทจึงเตรียมเงินลงทุนทางด้าน “ผลิตภัณฑ์” มากถึง 70% จากปัจจุบันที่มีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมทั้งหมด 12 รายการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ 10 รายการ ที่ดูแลครอบคลุมเกี่ยวกับรูปร่างและผิวพรรณ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ FACE PERFECT 2 รายการ ได้แก่ HYA 4D Serum และ Scrub 4D
“ปีนี้บริษัทจะมีการออกโปรดักต์เรือธงเพิ่มอีกประมาณ 2-3 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์ครีมนวัตกรรมใหม่, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารศาสตร์ชะลอวัย เป็นต้น เสริมด้วยระบบฝึกอบรมที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและแพทย์มาร่วมให้ความรู้เพื่อทำการตลาดให้ดียิ่งขึ้นด้วย และวางเป้าหมายจะทะยานไปให้ถึงยอดขาย 300 ล้าทบาท ในสิ้นปีนี้”
ขณะที่ ดร.กัมปนาท บุญราศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด กล่าวว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของปีนี้ คือ การลงทุน รอบด้านเพื่อการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภายใต้กลยุทธ์ “Innovation For Life” นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ สอดรับชีวิตวิถีใหม่ ที่จะมีการคัดสรรและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เหมาะสม และยกเลิกผลิตภัณฑ์เก่าบางรายออกไป พร้อมลงทุนเพิ่มมากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อยกระดับเทคโนโลยีในการผลิต มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ไปที่ “AIMMURA” สารสกัดจากงาดำและ “CASHEWY”หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดมาจากเนื้อของผลมะม่วง หิมพานต์ เพื่อตอกย้ำความเป็นแบรนด์ต้นน้ำทางด้าน การวิจัยอย่างแท้จริง เชื่อว่าจะทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 20% ในปี 2565
ส่วนยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า “ปีนี้จะเน้นผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ ที่มีสัดส่วนยอดขายรวมประมาณ 70% ซึ่งความแตกต่างของแบรนด์นิวทริไลท์จากแบรนด์อื่น คือ ความโดดเด่นในด้านนวัตกรรม และความสามารถของการตรวจสอบ ย้อนกลับ ถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ เราจะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ เสริมด้วยกลยุทธ์ “สินค้าเปิดใจ” เพื่อขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่ ตอบโจทย์เทรนด์ในปัจจุบันด้วยแพ็กเกจจิ้งที่เป็น instagenic ปรับรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจ มีสตอรี่ที่ง่ายต่อการทำคอนเท้นต์ สามารถแชร์ต่อในโลกโซเชียลได้”
รวมถึงพัฒนานักธุรกิจแอมเวย์ให้เป็น “Amway Creators” หรือนักธุรกิจแอมเวย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ที่สามารถนำเสนอสินค้าในแบบไลฟ์สไตล์ของตัวเองผ่านโซเชียลให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้ด้วย
ทางด้าน บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) (SCM) นายแพทย์สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร และ CEO นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า SCM จะเน้นเรื่องนวัตกรรมและคุณภาพของสินค้าให้มีผลลัพธ์ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างชัดเจน ผ่านกลยุทธ์ Develop the Power of brand การเพิ่มศักยภาพของแบรนด์ที่จะทำในทุกมิติ เพื่อสร้างการรับรู้ออกไปสู่ภายนอกองค์กรมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดกระแสแบรนด์ เลิฟเวอร์ (Brand Lovers) อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ โดยกลุ่มที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษ คือ “กลุ่มเสริมอาหาร” ที่หลายรายการได้รับการตอบรับดีในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพและดูแลเรื่องภูมิคุ้มกันมากขึ้น เช่น S Vera Plus, S.O.D More และ Nutrica
“เทรนด์สุขภาพเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันยังคงมาแรง ปีนี้ SCM จึงออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวใหม่ คือ วิตามินและแร่ธาตุรวมที่มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงการนำเข้าสินค้าจาก USA ที่มีส่วนช่วยในเรื่องภูมิแพ้และช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มาเสริมทัพสินค้ากลุ่มนี้อีกด้วย”
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสูตร ปรับราคา และปรับ PV ให้เหมาะสมในสินค้าหลายรายการ พร้อมทำการตลาดเชิงรุกด้วยการสร้างนักธุรกิจให้เป็น Creators และ Micro Influencer ในแบรนด์ของ SCM เพื่อเจาะผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ไปจนถึงร่วมมือกับพันธมิตรนอกวงการ ด้วยการเซ็น MOU ร่วมกับ “ธีรพรคลินิก” สถาบันศัลยกรรมตกแต่งระดับประเทศชื่อดัง เพื่อหวังสร้าง Ecosystem ให้เกิดขึ้น โดยกลยุทธ์ถัดไปคือการอบรมผู้นำให้เป็น “Beauty Consult” ที่ได้รับใบรับรองจากแพทย์ คาดว่าจากกลยุทธ์รอบด้าน จะช่วยสร้างยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 200% อย่างแน่นอน
ส่วนตำนานขายตรงไบนารี่ บริษัท แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม จำกัด ภายใต้การนำของ “CEO คู่แฝด” ณพวัฒน์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ ณพวิทย์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ให้ความสำคัญของกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์มาเป็นอันดับต้นเช่นกัน โดยจะมีการสร้างความชัดเจนของแต่ละแบรนด์มากขึ้น และแตกไลน์สินค้าเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค “4 แบรนด์หลัก” ได้แก่
1. POLLITIN ผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหารที่โดดเด่นในเรื่องของละอองเกสรดอกไม้สกัด ผลิตภัณฑ์เรือธงที่จะถูกตอกย้ำความเป็นแบรนด์แรกใน Southeast Asia ให้มากขึ้น เหมาะสำหรับกลุ่มคนรักสุขภาพและผู้สูงวัย โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้อาจมีการเปิดตัววิตามินและแคลเซียมสูตรพิเศษเข้ามาเพิ่มอีก 2 รายการ จากเดิมมี 17 รายการ
2. MX ผลิตภัณฑ์กลุ่มแพลนต์เบสด์โปรตีน สกัดจากโปรตีนพืชล้วน 100% เหมาะสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงานที่รักสุขภาพหรือไม่ทานเนื้อสัตว์ ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวสูตรใหม่ “รสชาติเฮลเซลนัท” และจะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มไฟเบอร์ชงพร้อมดื่ม คอลลาเจน น้ำมันปลา เข้ามาเสริมทัพเพิ่มเติม
3. MATARLIE ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลุ่มเวชสำอาง ปัจจุบันมี 4 รายการ ซึ่งจะมีการเพิ่มสินค้าอื่น
ให้ครอบคลุมการดูแลผิวหน้ามากยิ่งขึ้น เช่น โทนเนอร์ โฟมล้างหน้า เป็นต้น
4. Leá ผลิตภัณฑ์กลุ่มอุปโภคที่เน้นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ยาสระผม ครีมนวดผม สบู่ เป็นต้น
“นอกจากนี้บริษัทได้ลดราคายอดซื้อสินค้า เพื่อขึ้นตำแหน่ง VIP โดยจากเดิมอยู่ที่ 12,000 pv ลดเหลือเพียง 6,000 PV ซึ่งเมื่อคำนวณจาก PV เป็นจำนวนเงิน ลูกค้าจะใช้เงินซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลงกว่าเท่าตัว เพื่อเปิดโอกาสให้กับคนใหม่ที่ต้องการมีรายได้เสริม โดยเฉพาะวัยรุ่นตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจได้ง่ายขึ้นอีกด้วย”
ทางฝั่งของ “ตำนานนวัตกรรม” บริษัท พีอาร์ไนน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด “PR9” นำโดย นัทธวัฒน์ ธีระวาณิชย์ รองประธานบริษัท และ พงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา รองประธานบริหาร ล่าสุดได้ร่วมกัน “Revision” ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น “องค์กรสุขภาพแห่งอนาคต” โดยจะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ Mega Trend ด้านการดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการปรับแพ็กเกจจิ้งผลิตภัณฑ์บางรายการให้ทันสมัยและถูกใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น ไปจนถึงการรุกโปรโมตและทำโปรโมชั่น “ผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ” ภายใต้ชื่อ “9 Body Young Project” โดยจัดผลิตภัณฑ์หลากหลายมาอยู่ด้วยกัน แล้วแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มการดูแลสุขภาพแต่ละด้าน ได้แก่
1. Young Forever ผลิตภัณฑ์กลุ่มสมุนไพรจีน เสริมสร้างบำรุงสุขภาพแบบองค์รวม
2. Body Balance ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างสุขภาพและดีท็อกซ์ เพื่อปรับสมดุลภายในร่างกาย
3. Body Boost ผลิตกลุ่มโปรตีน กลุ่มความสวยความงาม กลุ่มบำรุงสายตา บำรุงสมองวิตามินรวม
4. Body Perfect เป็นการผสมผสานของทั้ง 3 กลุ่มแรกเข้าด้วยกัน ควบคู่ไปกับ “9 Body Check”นวัตกรรมการใช้เครื่องตรวจวัดดัชชีมวลกายเพื่อการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล
“เรามุ่งไปที่การสร้างกิจกรรมกับกลุ่มคนรักสุขภาพ นอกจาก 9 Body Young Project แล้วยังมีกิจกรรมอื่น เช่น แคมเปญ Tiger Run โชคดีมีชัยวิ่งต้อนรับปีเสือ ในระบบ Virtual Run มีคนร่วมวิ่งถึง 800 คน และในปีนี้จะเน้นการใช้ Influencer Marketing มากขึ้น โดยจะเชิญผู้ที่มีองค์ความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพ เช่น แพทย์ เภสัชกร แพทย์แผนจีน มาให้ความรู้กับกลุ่มสมาชิก และทำรีวิวผ่าน YouTube เพื่อให้สมาชิกขับเคลื่อนตลาดได้ง่ายขึ้นอีกด้วย”
ส่วนทางด้าน “CCI” ผู้นำด้าน “INNOVATIVE HERBS” ดร.ณสพน โพธิ์วิจิตร ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า “จุดแข็งของ CCI คือ R & D ผลิตภัณฑ์ของเราจึงเห็นผลได้จริงและตอบโจทย์ผู้บริโภค เราลงทุนทั้งในเรื่องเครื่องมือและบุคลากร สร้างห้องแล็บ R & D ด้วยเงินทุนหลักร้อยล้าน ผลิตภัณฑ์ทุกตัวก่อนที่จะออกสู่ท้องตลาด มีการทดลองทั้ง In Vitro study & In Vivo Study ก่อนไปสู่การวิจัยทางคลินิก นอกจากนี้ CCI ยังให้นักธุรกิจนำสินค้าไปใช้ฟรี 2-3 เดือน พร้อมกับเก็บข้อมูลด้วยนักเทคนิคการแพทย์ตามขั้นตอนอย่างถูกต้องแล้วนำผลมาวิเคราะห์โดยละเอียด จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับและพิสูจน์ได้จริง”
ปีนี้ “CCI” เตรียมวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกไตรมาส รวมแล้วไม่น้อยกว่า 6 รายการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดูแลสายตา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดูแลเกี่ยวกับโรค NCDs ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง PROVE เป็นต้น นอกจากนี้จะลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรทั้งระบบการสกัดและการผลิตวัตถุดิบสมุนไพร ทำให้เครื่องมือช่วยยกระดับสารสกัดให้ได้ผลสูงยิ่งขึ้น รวมไปถึงเพิ่มสายการผลิต สินค้าเครื่องสำอาง และเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องอีกร่วม 200 ล้านบาท เพื่อ “สร้างศูนย์ฝึกอบรมขนาดใหญ่” และ “โรงงานเครื่องมือแพทย์” ที่อำเภอคลองหลวง ถนนเลียบคลอง 4 ที่บริษัทซื้อที่ดินไว้จำนวน 16 ไร่ และกำลังจะแล้วเสร็จเร็ว ๆ นี้อีกด้วย