“ยุทธศิลป์ ทิวะทรัพย์” ปูรากฐาน “GETMORE” ด้วยทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ เผยกลยุทธ์ “Old School Marketing” หวังขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปสู่ TOP 10 ขายตรงไทยภายใน 3 ปี เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชันในรูปแบบ “One Stop Service” ภายในปีนี้
ยุทธศิสป์ ทิวะทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท เก็ทมอร์ บีอิ้ง จำกัด (Getmore) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ของ GETMORE กับการโลดแล่นอยู่ในอุตสาหกรรมธุรกิจเครือข่าย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “สร้างธุรกิจยุคดิจิทัลด้วย Product Innovation” ก่อตั้งขึ้นโดยผู้บริหารและโค้ชการตลาดออนไลน์ที่คร่ำหวอดอยู่บนเส้นทางนี้มากว่า 10 ปี ก่อนจะตกผลึกประสบการณ์มาเปิดบริษัทของตัวเอง มีทีมบริหารมืออาชีพที่เชี่ยวชาญรอบด้านมาร่วมกันขับเคลื่อนองค์กร ครบเครื่องทั้งแผนการตลาดและเครื่องมืออันสมบูรณ์แบบทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ โดยปีนี้ GETMORE ตั้งเป้าหมายจะทะยานไปให้ถึงยอดขาย 300 ล้านบาท พร้อมสร้าง “Brand Loyalty” ให้เกิดรากฐานมั่นคงด้วยกลยุทธ์ “Old School Marketing” เป็นแรงส่งขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปสู่ TOP 10 ขายตรงไทยภายใน 3 ปี
“อาจจะดูย้อนแย้งเมื่อนักการตลาดออนไลน์กลับเลือกไปมุ่งเน้นการตลาดแบบออฟไลน์ด้วยสไตล์ “Old School” เพราะธุรกิจเครือข่ายมีความพิเศษ แตกต่างจากธุรกิจขายตรงชั้นเดียวหรือธุรกิจตัวแทนอื่น ๆ นี่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก เห็นตัวอย่างได้ชัดจากเหล่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในวงการ ที่ลูกค้ามีความรักในแบรนด์สูงมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีและไม่ค่อยเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น สาเหตุเพราะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านสายสัมพันธ์มาจากการรุกตลาดออฟไลน์ตั้งแต่ยุคแรก ส่วนการทำการตลาดออนไลน์ ถือว่าเป็นการต่อยอดและอำนวยความสะดวกเท่านั้น”
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2565 นี้จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย “GETMORE” ได้วางแผนจะทำการตลาดเชิงรุกเต็มพิกัด โดยจะจัดกิจกรรมออฟไลน์ แบบดาวกระจายเต็มรูปแบบในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
และอีกจุดแข็งสำคัญคือมีทีมบริหารที่เก่งทุกด้าน ประกอบไปด้วย อำไพ อบเชย รองประธานกรรมการ
ซึ่งเป็นนักธุรกิจเครือข่ายมาก่อน จึงรู้ดีว่าออกกลยุทธ์แบบไหนโปรดักต์แบบไหนแม่ทีมจะชอบ และทำตลาดง่าย ปัญกร ตัณฑปัณณกร กรรมการผู้จัดการ ที่เก่งมากในเรื่องของนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยีต่าง ๆ และ
โค้ชเคน-เตคุณ ตัณฑนันทการ ที่ปรึกษาระบบพัฒนานักธุรกิจ ตัวจริงเรื่องการสร้างระบบพัฒนาคนเครือข่าย ทุกการจัดงานกิจกรรมของที่นี่จึงหวังผลความสำเร็จได้เลย
นอกจากนี้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของ “GETMORE” คือ การไปให้ถึง TOP 10 ขายตรงไทยใน 3 ปี และ
ต่อยอดขึ้นสู่ TOP 5 ให้ได้ภายใน 5 ปี ดังนั้น ปีนี้เพื่อให้การขับเคลื่อนสู่เป้าหมายเป็นไปอย่างราบรื่น บริษัท
จึงเตรียมลงทุนเพิ่ม 2 ส่วนหลักด้วยกัน คือ “ผลิตภัณฑ์” 70% และ “ระบบไอที” 30% ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมทั้งหมด 12 รายการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ 10 รายการ ที่ดูแลครอบคลุมเกี่ยวกับรูปร่างและผิวพรรณ
- 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ FACE PERFECT2 รายการ ได้แก่ HYA 4D Serum และ Scrub 4D
โดยในปีนี้เราจะมีการออกโปรดักต์เรือธงเพิ่มอีกประมาณ 2-3 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์ครีมนวัตกรรมใหม่ และ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารศาสตร์ชะลอวัย ด้านระบบไอที แม้จะมุ่งเน้นการทำตลาดแบบออฟไลน์เป็นหลัก แต่การลงทุนสร้างเครื่องมือออนไลน์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นและเชื่อว่าอนาคตทุกแบรนด์ต้องมีเป็นของตัวเอง นั่นคือ “แอปพลิเคชัน” บริษัทจึงเตรียมทำออกมาใช้งานภายในปีนี้ จะเป็นรูปแบบของ “One Stop Service” ที่เน้นให้สมาชิกและลูกค้าเข้ามาใช้เพื่อซื้อของได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่คะแนนจะวิ่งเข้าระบบของสมาชิกให้รู้ได้ทันที
“ในปีนี้บริษัทวางเป้ายอดขายการเติบโตไว้ที่ 300 ล้านบาท บางคนอาจจะดูว่าตั้งเป้าตัวเลขน้อยไป แต่สำหรับเรา เราไม่รีบหรือเน้นที่ตัวเงินมากเกิน สิ่งที่สำคัญคือการสร้างให้นักธุรกิจมีองค์กรที่แข็งแรงเติบโตเขาก็อยากจะอยู่กับเราไปนาน ๆ มองไปอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า GETMORE เป็นองค์กรที่มั่นคงจากรากฐาน อาจจะมีผู้นำเงินล้านมากกว่า 10 คน แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว” ยุทธศิลป์ กล่าวสรุป