“ขายตรง” ระบม❗ “ล็อกดาวน์” รอบ 2 กางแผนสู้ยิบตา ทุ่มงบรื้อระบบ IT ใหม่ มุ่งออนไลน์เปิดทางรอดอนาคต เพิ่มกำลังจัดส่งสินค้ารับมือสั่งผ่านออนไลน์ กระตุ้นกำลังซื้อออกโปรโมชั่นผ่อน 0% จัดซื้อวัคซีนเร่งฉีดให้พนักงาน พร้อมส่งเสียงถึงภาครัฐ วอนออกนโยบายลดหย่อนภาษีและสินเชื่อ เยียวยาขายตรง
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ประกาศ ยกระดับ “ล็อกดาวน์” ในพื้นที่สีแดงเข้ม ควบคุมสูงสุด 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา มีผลตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม-2 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้ก็ได้เพิ่มเป็น 29 จังหวัด โดยจะล็อกดาวน์มีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ (3 สิงหาคม 2564) อันเนื่องมาจาก การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ตัวเลขของผู้ติดเชื้อต่อวันพุ่งทะลุกว่า 10,000 ราย โดยการประกาศล็อกดาวน์ในครั้งนี้ถือเป็นรอบที่ 3 ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลกระทบกับ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงไม่แพ้ธุรกิจอื่น ทั้งเรื่องของยอดขายการจัดประชุมไม่ได้และการวางกลยุทธ์ที่ต้องปรับอย่างรวดเร็วให้ทันต่อสถานการณ์
กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และการ “ล็อกดาวน์” รอบ 3 นี้ ในส่วนของการจัดส่งสินค้า บริษัทจัดเตรียมความพร้อม และมีการเฝ้าระวังการเข้า-ออกอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานและผู้รับจ้างขนส่ง ที่เข้ามาในพื้นที่ปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 เพิ่มกำลังการจัดส่งสินค้าเพื่อรองรับการสั่งซื้อทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนการทำตลาดบริษัทมุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงนี้ เช่น สินค้าเกี่ยวกับ Nutrition และ Wellness ซึ่งเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ พร้อมจัดโปรโมชั่นผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Double Date Promotion หรือ 0% Installment Plan เพื่อสร้างบรรยากาศในการทำธุรกิจและเปิดโอกาสให้ผู้บริโภค ได้เข้าถึงสินค้าแอมเวย์ง่ายมากขึ้น ในช่วงที่ต้องระมัดระวังค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้บริษัทให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและความปลอดภัยของนักธุรกิจแอมเวย์ ลูกค้า และพนักงานอย่างสูงสุด โดยปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ อย่างเคร่งครัด กรณีเกิดเหตุการณ์ เช่น พนักงานหรือผู้มาใช้บริการแอมเวย์ ช็อป ติดเชื้อ บริษัทจะให้พนักงานที่มีโอกาสเสี่ยงจากการใกล้ชิดผู้ติดเชื้อหยุดปฏิบัติงานทันที เพื่อไปตรวจหาเชื้อและกักตัวเป็นเวลา 14 วัน รวมถึงการฆ่าเชื้อภายในบริเวณที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และทุกครั้งจะมีการออกประกาศทางเว็บไซต์และเฟซบุ๊กของบริษัท เพื่อให้ผู้มาใช้บริการช่วงดังกล่าวได้เฝ้าระวังและสังเกตอาการตนเอง ถือเป็นหลักปฏิบัติที่บริษัทยึดมั่นในการเปิดเผยข้อมูลแก่นักธุรกิจแอมเวย์ สมาชิก และพนักงานทุกคน
ขณะที่ทางด้าน ดร.กัมปนาท บุญราศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด
กล่าวว่า บริษัทมีการวางกลยุทธ์แบบคำนึงถึง Worst-Case Scenario มาตั้งแต่แรก จึงมีมาตรการ Work From Home 100% ทั้งสำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขาในต่างจังหวัด มาตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมทุ่มงบมากกว่า 3 ล้านบาท วางระบบ IT ใหม่มาตั้งแต่ปี 2563 ครอบคลุมทั้งเรื่องของระบบหลังบ้าน เซลส์เพจของสินค้าและการรีครูตสมาชิกใหม่รวม 6 เซลส์เพจ ไปจนถึงระบบดรอปชิปที่เพิ่งถ่ายโอนมาใช้ระบบใหม่เต็มรูปแบบเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้พนักงาน สามารถทำงานจากที่บ้านได้ โดยที่สมาชิก ลูกค้าเอง สามารถทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น และใช้บริการได้โดยไม่สะดุด
“ส่วนคลังสินค้ามีพนักงานเพียง 5-6 คน พร้อมปรับเปลี่ยนคลังให้กลายเป็นแคมป์ เพื่อที่พนักงานสามารถพักอาศัยโดยไม่ต้องเดินทาง นอกจากนี้เรามีห้องคลีนรูมเมื่อรับสินค้าเข้าและส่งออก จะต้องถูกพ่นฆ่าเชื้อที่ห้องนี้ก่อนทุกครั้ง รวมถึงทุก 7 วัน พนักงานคลังจะมีการตรวจด้วยชุด Test Kit เพื่อป้องกันพนักงาน และป้องกันผู้บริโภคของเราให้ห่างจากเชื้อให้มากที่สุด”
สำหรับการรุกตลาดในช่วงวิกฤตินี้บริษัทเน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่าให้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาโปรดักต์ใหม่ให้เข้ากับยุค New Normal โดยล่าสุดเพิ่งเปิดตัว “เอมมูร่า ไนน์ทีน” ที่มีผลวิจัยตอบโจทย์ความต้องการเรื่องของภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ โดยได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม
“มาตรการทุกอย่างของเราจะคิดแบบ Worst-Case Scenario ไว้ก่อนเสมอ เพราะหากสถานการณ์แย่มากเรายังรับมือได้ แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาด สิ่งที่ทำหรือวางแผนไว้ ก็คือ กำไรหรือโบนัส ในการวางระบบที่ดีไว้เพื่ออนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีต่อองค์กร” ดร.กัมปนาท กล่าว
ส่วน “CEO ฝาแฝด” ณพวัฒน์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ ณพวิทย์
สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม จำกัด เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ “ล็อกดาวน์” บริษัทได้เตรียมแผนงานในเรื่องของระบบการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคและสมาชิกโดยมีพาร์ตเนอร์ เช่น บริษัทขนส่ง SCG Express ที่มีระบบบริหารจัดการข้อมูลและการตรวจเช็กที่ดีมาก ทั้งยังมีพนักงานในการจัดส่งสินค้าและบริการเก็บเงินปลายทาง สำหรับกลยุทธ์กระตุ้นยอดที่ออกมาในช่วงนี้ บริษัทมีการจัดโปรโมชั่นจัดส่งฟรี เมื่อซื้อสินค้าครบ 500 PV
ขึ้นไป พร้อมจัดโปรโมชั่นเซตสินค้ายอดนิยม และสร้างเครื่องมือทางการตลาดสนับสนุนสมาชิก เช่น มีห้องเรียนออนไลน์ให้กับสมาชิกเพื่อศึกษาเกี่ยวกับสินค้านำไปทำการตลาดที่ถูกต้อง
ขณะที่ระบบบริหารจัดการหากมีพนักงานหรือสมาชิกติดโควิด-19 บริษัทจะทำการปิดสำนักงานเป็นเวลา 14 วัน เพื่อทำความสะอาดแบบ Big Cleaning ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรค และให้พนักงานไปตรวจเชื้อ รวมถึงให้พนักงานทั้งหมดกักตัวอยู่บ้าน นอกจากนี้บริษัทยังมีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด มีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรค และทุกวันพฤหัสบดี มีการอบโอโซน ตั้งแต่เวลา 08.00-19.00 น. ของทุกวัน มีจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิและอุโมงค์พ่นฆ่าเชื้อบริเวณทางเข้า ส่วนทางขึ้นชั้น 2 มีพนักงานทำความสะอาดฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจุดที่สัมผัสทุก ๆ 1.30 ชั่วโมง และการจัดสรรที่พักให้พนักงานลดความเสี่ยงจากการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ที่สำคัญจะผลักดันให้พนักงานสำนักงานใหญ่และปริมณฑล ได้รับการฉีดวัดซีนครบ 2 เข็ม ให้ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
ทางด้าน พงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา รองประธานบริหาร บริษัท พีอาร์ไนน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้มีการวางแผนการสต๊อกสินค้าล่วงหน้า 3 เดือน กระจายในศูนย์สาขาและศูนย์สมาชิกในแต่ละจังหวัด พร้อมบริการการจัดส่งสินค้าฟรีให้กับสมาชิก และร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ในศูนย์สาขาในต่างจังหวัดให้มีการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น เพราะเดิมจะมีการจัดส่งจากสำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ เป็นศูนย์หลัก
สำหรับโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย บริษัทจะเน้นในเรื่องของการมอบสินค้าพรีเมี่ยมแถมเป็นชุดโปรโมชั่นมากกว่าการลดราคา อาทิ กระเป๋า ร่ม เสื้อ นาฬิกา แจ๊กเกต รวมถึงเครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้นักธุรกิจเน้นการทำตลาดออนไลน์ โดยมีคอร์สการเรียนรู้ออนไลน์ 6 คอร์ส ในระดับแอดวานซ์ ที่จะสร้างตัวตนให้กับสมาชิกบนโลกออนไลน์ให้ง่ายขึ้นในยุคนี้
ด้านมาตรการป้องกันโควิด-19 บริษัทมีมาตรการสูงสุดในการปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐ อาทิ เจลแอลกอฮอล์ ฉากพลาสติกกั้นระหว่างสมาชิกและพนักงานประจำสาขา การฉีดพ่นฆ่าเชื้อทำความสะอาดสำนักงาน และการส่งเสริมให้พนักงานได้ฉีดวัคซีนให้รวดเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามอยากจะสะท้อนปัญหาไปถึงภาครัฐ ในการจัดสรรวัคซีนเข้ามาให้เพียงพอ โดยเฉพาะวัคซีน mRNA เพื่อที่จะตอบโจทย์กับเชื้อโรคในปัจจุบันที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน
ทางด้านบริษัทข้ามชาติอย่าง อลิศรา แซ่เตีย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เจอเนสส์ โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยการดำเนินธุรกิจเครือข่ายของบริษัทได้ถูกวางโครงสร้างอยู่บนพื้นฐานของแพลตฟอร์มออนไลน์มาตั้งแต่แรกเริ่ม นักธุรกิจ
เจอเนสส์ทุกท่านจึงสามารถสั่งซื้อสินค้าทางช่องทางออนไลน์ได้ตามปกติ ส่วนในภาวะวิกฤติที่กำลังซื้อหดหาย บริษัทมีการแจกโบนัสเงินสดเพิ่มเติมนอกเหนือจากคอมมิชชั่นรวมถึงจัดโปรโมชั่นสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้นักธุรกิจ นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการจัดอบรมให้ความรู้ทั้งในเรื่องการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงอบรมความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักธุรกิจเจอเนสส์มีทักษะรอบด้านในการขยายธุรกิจทางออนไลน์ด้วยตนเอง
ส่วนของการดูแลพนักงานนั้น บริษัทมีการจัดทำประกันคุ้มครองเพิ่มเติมให้ในส่วนของประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและสุขภาพแบบเฉพาะโรคที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อโควิด-19 พร้อมจัดหาวัคซีนทางเลือกให้กับพนักงาน และเพื่อลดความเสี่ยงในการทำงานจึงให้พนักงานทุกคน Work From Home พร้อมกับประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา
อลิศรา กล่าวทิ้งท้ายว่า “สถานการณ์เช่นนี้ถ้าเป็นไปได้ อยากให้มีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ดำเนินธุรกิจขายตรง หรือมีมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อกับนักธุรกิจขายตรง โดยถือว่าเป็นผู้ที่มีรายได้และธุรกิจที่มั่นคง เพื่อรองรับผู้ประกอบอาชีพขายตรงและดึงดูดให้คนหันมาเข้าร่วมธุรกิจขายตรงมากขึ้นด้วย”
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน นพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) ให้แนวทางในการดูแลสุขภาพว่า ควรเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือสม่ำเสมอ เลี่ยงการสัมผัสสิ่งของให้มากที่สุด หรือฉีดพ่นแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งของ เว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการพูดคุยใกล้ชิด หรือรวมกลุ่มรับประทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ควรอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต่าง ๆ ที่นำติดตัวออกไปนอกบ้านก่อนเก็บเข้าที่
“วัคซีนที่ดีที่สุด คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายบ้าง เพราะป้องกันดีกว่ารักษาแน่นอน” นพ.สิทธวีร์ กล่าว
CEO นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับมาตรการรับมือล็อกดาวน์ครั้งนี้ บริษัทมีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้าน ประมาณ 80% มีเพียงพนักงาน 20% ที่หมุนเวียนมาทำงานที่ออฟฟิศ โดยวางมาตรการป้องกันโควิด-19 เข้มงวดดังต่อไปนี้
1. บุคลากรทำงานไม่หนาแน่นจนเกิน 40-50% ของพื้นที่ใช้งาน
2. ฉีดพ่นฆ่าเชื้อทำความสะอาดสำนักงานอยู่ตลอดเวลา
3. การซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มฉีดให้กับบุคลากรทุกคน โดยได้ฉีดเข็มแรกไปแล้ว
4. กำชับการใช้ชีวิตของพนักงานและการทำธุรกิจของสมาชิก ให้ปรับเปลี่ยนการนำใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำธุรกิจมากขึ้น รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเองในภาวะโรคระบาดแบบนี้
“นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาเครื่องมือออนไลน์เข้ามาช่วยซัพพอร์ตการทำธุรกิจ และเตรียมความพร้อมของนักธุรกิจด้วยการปรับ “Mindset” เทรนนิ่ง การใช้เครื่องมือออนไลน์ ตอนนี้ยุค New Normal แล้ว ยากที่จะไหลย้อนกลับไปสู่ยุคเดิม โดยจะมีการเทรนนิ่งออนไลน์สมาชิกทุกวันอาทิตย์ พร้อมจัดเซตโปรโมชั่นให้มีความเข้าใจง่าย สามารถเลือกซื้อได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด” CEO นพกฤษฏิ์ กล่าว