วิกฤติโควิด-19 ยังซัดประเทศไทยโคม่าต่อเนื่อง❗ การระบาดระลอก 3 ส่งผลกระทบสะเทือนทั่วแผ่นดิน ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อทะยานแตะหลักทะลุ 2,000 รายต่อวัน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตยังเป็นกราฟพุ่งขึ้นไม่หยุด ขณะที่เศรษฐกิจมองไม่เห็นแสงสว่าง สถิติคนตกงานทะลุ 1.8 ล้านคน เด็กจบใหม่จ่อรอคิวเตะฝุ่นอีกเพียบ ด้านขายตรงปรับทัพสู้วิกฤติ❗ เน้นเปลี่ยนกลยุทธ์รวดเร็วตามสถานการณ์ พลิกสินค้า “เสริมภูมิ” ขึ้นเรือธง พร้อมดึงเทคโนโลยี ช่วยการประชุมธุรกิจ รีครูตคนว่างงานสร้างอาชีพผ่านระบบออนไลน์
จากภาวะวิกฤติโควิด-19 ที่กำลังรุนแรงขึ้นในขณะนี้ นอกจากจะส่งผลกระทบไปทั่วประเทศ ทางด้านความปลอดภัยของชีวิตและสุขภาพแล้ว สิ่งที่เจอปัญหาหนักหน่วงไม่แพ้กันคือเศรษฐกิจ ที่ล่าสุดองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ข้อมูลการว่างงาน และการว่างงานแฝงของประเทศ มีข้อมูลเชิงประจักษ์แสดงให้เห็นว่า แรงงานจำนวนมากยังอยู่ในสภาพไม่มีงานทำ ทั้งมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า 74% ย้ายถิ่นกลับภูมิลำเนาเดิม ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้ว มีแรงงานเดินทางกลับต่างจังหวัดถึงประมาณ 2 ล้านคน นอกจากนี้ตัวเลขผู้หางานผ่านเว็บไซต์หางานชื่อดัง Jobthai.com ยังระบุว่า ล่าสุด มีจำนวนผู้หางานสูงถึง 1.876 ล้านคน ที่ถือว่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งยังมีนักศึกษาที่กำลังจะจบใหม่ ทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงานที่กำลังซบเซาอีกจำนวนหลายแสนคน ส่งผลให้ขณะนี้กระแสของการหางาน หรือรายได้เสริมเป็นอาชีพที่สองกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ประกอบการของธุรกิจเครือข่าย ก็เล็งเห็นถึงทางรอดของธุรกิจจากวิกฤติที่เกิดขึ้นนี้เช่นกัน ทั้งในแง่มุมของการเข้าไปช่วยสร้างอาชีพ และแง่มุมของการขยายตลาดโดยผลักดันสินค้าที่มีจุดเด่นทางด้านการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมานำตลาดก่อนผลิตผลิตภัณฑ์ตัวอื่น หรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเจาะตลาดกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากภาพรวมเกี่ยวกับเทรนด์การตลาดด้านผลิตภัณฑ์และหลายผลสำรวจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างชี้ชัดไปในทางเดียวกันว่า ความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมายอมใช้เงินมากขึ้นไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการป้องกัน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน (Immune) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ ได้ จึงส่งผลให้หลายบริษัท มียอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเติบโตเพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้ในสภาวะวิกฤติขณะนี้
บริษัท แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม จำกัด ธุรกิจเครือข่ายสัญชาติไทย ที่กำลังก้าวสู่ปีที่ 22 “Year Of Exponential Growth
ปีแห่งความสำเร็จเท่าทวีคูณ” ก็มีการปรับกลยุทธ์ให้ทันสถานการณ์อยู่ตลอดเช่นกัน โดย ณพวัฒน์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ ณพวิทย์ สัตย์เพริศพราย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด “CEO คู่แฝด” เปิดเผยกับ “เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค” ว่า จากผลกระทบของโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกแรกจนถึงระลอก 3 ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ
ทางด้านยอดขายแต่อย่างใด แต่กลับเป็นปีที่มีการเติบโตมากที่สุด เพราะมีการปรับตัวสอดรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นอยู่ตลอดเวลา
โดยกลุ่มของสินค้าเองเราเล็งเห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หันมาเน้นรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อการป้องกันมากขึ้น ปีที่ผ่านมาเราจึงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นด้านนี้โดยเฉพาะและได้รับความนิยมมียอดสั่งซื้อสูงมากในช่วงที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มที่ส่งเสริมภูมิคุ้มกันโตประมาณ 20-30% สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของเบต้ากลูแคน วิตามินซี และเกสรดอกไม้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พอลลิแคน (Pollican) ที่นอกจากมีส่วนผสมของสารสกัดจากละอองเกสรดอกไม้แล้ว ยังมีเบต้ากลูแคนสายยาวสูตรเบต้า-1, 3/1, 6-Glucan สายพันธุ์จากยีสต์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดผสมอยู่ด้วยเป็นสูตรเฉพาะของแบรนด์พอลลิติน ที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกัน ให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง ทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสถานการณ์ที่เชื้อไวรัสกำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ และนอกจากนี้ยังมี ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เอ็มเอ็กซ์ โปรตีน (Mx Protein) ที่เปิดตัวใหม่ก็ทำตลาดได้ดีเช่นกัน
ส่วนทางด้านของการจัดประชุมธุรกิจ แม้จะไม่สามารถจัดงานประชุมรวมตัวกันได้ แต่บริษัทก็มีการจัดโปรโมชั่นดูแลสมาชิกด้วยการจัดส่งสินค้าฟรี สมัครสมาชิกฟรี เพราะเข้าใจสถานะของผู้ที่ว่างงานในขณะนี้ ส่วนการจัดประชุมผู้นำหลัก ๆ ในแต่ละภูมิภาค เราเน้นจัดผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีความถี่เหมาะสม และประชุมกับนักธุรกิจที่มีดีเอ็นเอของบริษัทจริง ๆ เพื่อส่งต่อกลยุทธ์การทำธุรกิจสู่สมาชิกทำให้บริษัทสามารถรักษายอดขายเติบโตได้
“นอกจากนี้ยังมีการจัดคอร์สออนไลน์ เพื่อรีครูตคนใหม่ให้เข้าร่วมธุรกิจได้ เช่น การจัดกิจกรรมไลฟ์สด What’s NEXT เพื่อส่งต่อไปยังคอร์สออนไลน์ ที่จะสร้าง Passive Dealer สร้างงานสร้างอาชีพให้มีรายได้แบบยั่งยืน รองรับคนที่กำลังมองหางาน หรืออยากมีรายได้เสริม ผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม มีคนเข้ากิจกรรมไลฟ์สดเฉียดพันคน นอกจากนี้เรายังออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอุปโภค-บริโภค เข้ามาเสริมทัพในช่วงนี้ ทำให้ยอดขายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติขณะนี้” CEO คู่แฝด กล่าว
ทางด้าน วรรณ โชติกะวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลกาซี่ คอร์ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยกลยุทธ์ในตอนนี้มีการ “Work From Home” มาเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว โชคดีที่บริษัทมีระบบแบ๊กออฟฟิศที่แข็งแกร่ง อีกทั้งนักธุรกิจเอง ก็ไม่ได้รับผลกระทบในการทำธุรกิจ เพราะเดิมก็เน้นการทำการตลาดออนไลน์และไม่เข้าออฟฟิศอยู่แล้ว อาจจะมีแค่การจัดประชุมสัมมนาใหญ่ ๆ ที่เมื่อไม่สามารถรวมตัวได้ ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ไปตามสถานการณ์ โดยใช้แพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย ที่มีให้เลือกใช้หลายรูปแบบ และใช้เทคโนโลยีหลักที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ของ “เลกาซี่” เองในการจัดประชุมและรีครูตคนใหม่ คือ channel.legacy.co.th ซึ่งระบบมีความสมบูรณ์แบบ 100% มาก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมคุณภาพ ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องของภูมิคุ้มกันในขณะนี้ เลกาซี่ มีความพร้อมที่สามารถตอบโจทย์และขยายฐานตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารสกัดจากขมิ้น เจจี-40 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนูทริ-โปร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวเทรียม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมัลติ แพลนทส์ โปรตีน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลูทีเนส และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเวย์โปรตีน ไอโซเลท ช็อกโกแลต เฟลเวอร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้นตามลำดับภายในสิ้นปีนี้ โดยกลยุทธ์ต่อจากนี้จะเน้นส่งเสริมการจัดกิจกรรมของนักธุรกิจออนไลน์ และโปรโมชั่นการท่องเที่ยว Legacy Signature Trip to Soneva Kiri พักผ่อนในรีสอร์ตสุดหรูระดับ World Class บนเกาะกูด พร้อมการบริการในรูปแบบ Intelligent Luxury ที่โดดเด่นและไม่เหมือนใคร โดยมีระยะเวลาการทำคุณสมบัติ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 – 31 ตุลาคม 2564 นี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายโอกาสผ่านช่องทางออนไลน์ จนพ้นผ่านวิกฤติขณะนี้ไปได้อย่างแน่นอน
ฝั่งบิ๊กขายตรงโมเดิร์นเทรด ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (J&C) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์โควิด-19 ช่วงที่ผ่านมากลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของบริษัท ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคจำนวนมาก นอกจากผลิตภัณฑ์โหย่งเหิง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีติดอันดับอยู่แล้ว ขณะนี้บริษัทเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรายการใหม่ลงตลาด และกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงวิกฤติโควิด-19 คือ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเคียร์ว” ที่มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการทำงานของปอดตามปกติ ซึ่งมีสารสกัดสำคัญ ที่สามารถช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่การดำเนินชีวิตต้องตกอยู่ในความเสี่ยงจากการเดินทางหรือการรวมตัวกัน จึงทำให้การทำธุรกิจอาจจะยุ่งยากขึ้นบ้าง J&C จึงออกแบบกลยุทธ์ออกมาช่วยให้นักธุรกิจทำงานง่ายขึ้น จากการรวบรวมข้อมูล Big Data แล้วมาปรับปรุงระบบในการทำธุรกิจ โดย ยึดหลัก 5 Philosophy’s เป็นแกนหลัก ประกอบไปด้วย 1.Contribute การมีส่วนสนับสนุน 2.Experience การมีประสบการณ์ 3.Innovation การมีนวัตกรรม 4.Happiness การมีความสุข และ 5.Sustainable การมีความมั่นคงยั่งยืน
จากนั้นออกแบบ Platfrom Of J&C เพื่อเชื่อมโยงระบบ ให้เป็นส่วนสนับสนุนการทำงานของนักธุรกิจให้ง่ายยิ่งขึ้นในยุคนี้ ซึ่งมีความหลากหลายทั้งระบบออฟไลน์และระบบออนไลน์ รวมถึงการไม่หยุดพัฒนาสินค้า ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค และทุกวันนี้ J&C มีสินค้ากว่า 10,000 รายการ รองรับความต้องการของตลาด พร้อมทั้งเสริมด้วยการจัดโปรโมชั่นท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ
ที่จังหวัดภูเก็ตในปีนี้อีกด้วย ดร.สมชาย กล่าว
ส่วนทางด้าน บริษัท พีอาร์ไนน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด นำโดย พงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา รองประธานบริหาร กล่าวถึงการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 บริษัทต้องมีการปรับตัวและปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอย่างรวดเร็วให้ทันท่วงที และเน้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสนับสนุนเพื่อเข้าสู่มิติการทำธุรกิจออนไลน์แบบ 100 % พร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์และด้านการตลาดมาให้ความรู้กับสมาชิก ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นการสร้างคอนเท้นต์ออนไลน์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการขยายตลาดให้กับสมาชิก ส่วนแบ๊กออฟฟิศนอกจากจะต้องเตรียมระบบหลังบ้านให้พร้อมรองรับบริการสมาชิกให้ดีที่สุดแล้ว เรายังเน้นการปรับตัวสตาฟฟ์ของบริษัท ให้มีบทบาทเพิ่มเติมในการเป็นไมโครอินฟลูเอนเซอร์ผ่านสื่อโซเชียล มีเดีย อีกด้วย
ขณะที่หัวใจหลักสำคัญ คือ สินค้าที่จะโดนใจและผู้บริโภคนิยมในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยาน้ำปาซินซุ่ย มีฤทธิ์เย็น สกัดจากสมุนไพรกว่า 80 ชนิด ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยาน้ำซินแป๊ะฮ้อ มีฤทธิ์ร้อน สกัดจากสมุนไพรกว่า 50 ชนิด และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบีเอ็ม-ไนน์ (BM-9) เป็นนวัตกรรมที่ได้นำจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งโพรไบโอติก (Probiotic) และพรีไบโอติก (PREBIOTIC) ทำให้เกิดกระบวนการซินไบโอติก (Synbiotic) ที่มีทั้งจุลินทรีย์ดีต่อร่างกาย เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง เมื่อรับประทานควบคู่กับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเวจจิ เอ็กซ์ (Veggi X) เป็นนวัตกรรมใหม่ มีผักผลไม้สกัดเข้มข้น 5 สี 26 ชนิด วิตามิน 12 ชนิด และแร่ธาตุ 17 ชนิด รวมทั้งหมด 55 ชนิด เพื่อให้ร่างกายมีวิตามินและแร่ธาตุที่ครบในการสร้างภูมิต้านทานให้มีความแข็งแรง
“เราไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ละวันต้องมีการเตรียมความพร้อมขยับตัวให้ทันสถานการณ์อยู่เสมอแทบจะวันต่อวัน จนกว่าจะถึงปลายปีนี้ กว่าจะเห็นความชัดเจนทั้งระบบ เศรษฐกิจว่าดีขึ้นแค่ไหน ร่วมไปถึงการฉีดวัคซีนของประชาชนภายในประเทศที่จะเป็นตัวแปรสำคัญของทิศทางประเทศ อย่างไรก็ตาม เราได้เตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ยุค Next Normal ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อรับมือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องออนไลน์ สังคมแห่งการลดการสัมผัสระหว่างกัน การชำระเงินด้วยระบบออนไลน์ที่สะดวกสบาย การจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วมากขึ้น และเทรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จะเป็นเทรนด์ในอนาคตต่อจากนี้ เพื่อสนับสนุนให้นักธุรกิจทำงานได้ไม่สะดุดและสะดวกที่สุด และกระตุ้นให้ยอดขายมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่ว่าต่อไปประเทศไทยจะต้องเจอกับวิกฤติอีกกี่ครั้ง พีอาร์ไนน์ก็พร้อม 100% ที่จะรับมืออย่างแน่นอน” พงษ์กฤตย์ กล่าวปิดท้าย