หลังจากฉลองครบรอบปีที่ 11 ในเดือนกันยายน 2020 ที่ผ่านมา เจอเนสส์ โกลบอล ได้บันทึกอีกหนึ่งหลักชัยแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญโดยมียอดขายสะสมทั่วโลกสูงถึง $8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในวันเปิดตัวบริษัทในปี 2009 ปณิธานของสองผู้ก่อตั้ง แรนดี เรย์ (CEO), เวนดี ลิวอิส (COO) และสก็อต ลิวอิส Chief Visionary Officer คือ การสร้างแบรนด์พันล้านดอลลาร์ระดับโลก โดยพวกเขาสามารถพิชิตเป้าหมายพันล้านดอลลาร์นี้ได้ในปี 2015 พร้อมกับการครองตำแหน่งบริษัทที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ขายตรงที่มียอดขายทั่วโลกในระดับ $1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ในปีต่อมา เจอเนสส์ ก็ได้สร้างสถิติใหม่ให้บริษัทอีกครั้งโดยมียอดขายสะสมเพิ่มขึ้นอีก $2 พันล้านเหรียญโดยมียอดขายสะสม $3 พันล้านเหรียญในช่วงปลายปี 2016 และมียอดขายสะสมแตะระดับ $5 พันล้านเหรียญในปี 2018 และพิชิตยอดขายสะสม $8 พันล้านเหรียญในเดือนมกราคม ปี 2021
การเติบโตของบริษัทได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากสถาบันต่าง ๆ มากกว่า 30 รางวัล รวมถึงการติดทำเนียบ Inc. 5000 บริษัทที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในอเมริกาเป็นเวลาห้าปีติดต่อกันและติดอันดับ Top 20 ของ Global 100 บริษัทที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกซึ่งเป็นการจัดอันดับโดยนิตยสาร Direct Selling News ตั้งแต่ปี 2016
ในปี 2020 เจอเนสส์ มีอัตราการเติบโตในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกเป็นตัวเลขสองหลัก โดยมีอัตราการเติบโตตั้งแต่ 12% ไปจนถึง 42% โดยบริษัทสามารถสร้างอัตราการเติบโตในระดับดังกล่าวได้ แม้จะมีสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้บริษัทต้องปรับเปลี่ยนงานอีเว้นต์ที่จัดขึ้นทั่วโลกหลายร้อยงานในแต่ละปี เป็นการเผยแพร่สดงานอีเว้นต์ผ่านทางออนไลน์และให้พนักงานประมาณ 775 คนทำงานจากทางไกล
สก็อต เอ. ลิวอิส (Scott A. Lewis) ประธานบริหารด้านวิสัยทัศน์ (Chief Visionary Officer) บริษัท เจอเนสส์ โกลบอล จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “การได้พิชิตหลักชัยสำคัญดังกล่าวเป็นผลจากการทำงานอย่างหนักและทุ่มเทของครอบครัวนักธุรกิจและพนักงานเจอเนสส์ทั่วโลก แม้ว่าในปี 2020 เราจะได้พบกับความท้าทายในแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน เราได้ทบทวนองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างในการดำเนินงานทางด้านธุรกิจของเราเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของนักธุรกิจในสถานการณ์ดังกล่าว สำหรับเราแล้วตัวเลขนี้เป็นมากกว่าหลักชัยแห่งความสำเร็จที่พิชิตได้ มันเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบในด้านบวกที่เราได้สร้างสรรค์ขึ้นร่วมกันและสื่อให้เห็นถึงผู้คนมากมายทั่วโลกซึ่งมีชีวิตที่ดีขึ้น”